เอกภพ
หรือ
จักรวาล
(Universe)
อุบัติขึ้นเมื่อประมาณ
13,000 ล้านปีมาแล้วตามทฤษฏีบิกแบง
ในยุคเริ่มแรกจักรวาลมีขนาดเล็ก
พลังงานมหาศาลอัดแน่นเป็นสสาร
ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอสไตน์
(E
= mc2) เมื่จักรวาลเย็นตัวลง
ธาตุแรกที่เกิดขึ้นคือ
ไฮโดรเจน
ซึ่งประกอบขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยโปรตอนและอิเล็คตรอนอย่างละตัว ไฮโดรเจนจึงเป็นธาตุที่มีอยู่มากที่สุดในจักรวาล
เมื่อไฮโดรเจนเกาะกลุ่มกันจนเป็นกลุ่มแก๊สขนาดใหญ่เรียกว่า
เนบิวลา
(Nebula)
แรงโน้มถ่วงที่ศูนย์กลางทำให้กลุ่มแก๊สยุบตัวกันจนเกิดปฏิกริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
หลอมรวมไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม
ดาวฤกษ์จึงกำเนิดขึ้น เมื่อดาวฤกษ์เผาผลาญไฮโดรเจนจนหมด
ก็จะเกิดฟิวชันฮีเลียม
เกิดธาตุลำดับต่อไป
ได้แก่
คาร์บอน
ออกซิเจน
ซิลิกอน
และเหล็ก
(เรียงลำดับในตารางธาตุ) ธาตุเหล่านี้จึงเป็นธาตุสามัญและพบอยู่มากมายบนโลก
ในท้ายที่สุดเมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่สิ้นอายุขัย
ก็จะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา
เกิดธาตุหนักที่หายากในลำดับต่อมา
เช่น
เงิน
ทอง
เป็นต้น
ธาตุเหล่านี้จึงเป็นธาตุที่หายากบนโลก
การเวียนว่ายตายเกิดของดาวฤกษ์เกิดขึ้นหลายรอบ
และครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ
4,600 ล้านปีมาแล้ว กลุ่มแก๊สในเอกภพบริเวณนี้ได้รวมตัวกันเป็นหมอกเพลิงชื่อว่า
“โซลาร์เนบิวลา” (Solar แปลว่า
สุริยะ,
Nebula แปลว่า หมอกเพลิง)
แรงโน้มถ่วงทำให้กลุ่มแก๊สยุบตัวและหมุนรอบตัวเอง
ใจกลางมีความร้อนสูงมากจนเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชัน
กลายเป็นดาวฤกษ์ที่ชื่อว่าดวงอาทิตย์
ส่วนวัสดุที่อยู่รอบๆ
มีอุณหภูมิต่ำกว่า
รวมตัวตามลำดับชั้นกลายเป็นดาวเคราะห์ทั้งหลาย
โคจรรอบดวงอาทิตย์ และเศษวัสดุที่โคจรรอบดาวเคราะห์ก็รวมตัวเป็นดวงจันทร์บริวาร
โลกในยุคแรกเป็นหินหนืดร้อน ถูกกระหน่ำชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุหนักเช่น เหล็กและนิกเกิลจมตัวลงสู่แก่นกลางโลก ขณะที่องปรกอบที่เบากว่าเช่น ซิลิกอน ลอยตัวขึ้นสู่เปลือกนอก ธาตุและสารประกอบที่เบากว่าเช่น ไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ำ พยายามแทรกตัวออกจากพื้นผิวกลายเป็นบรรยากาศ เมื่อโลกเย็นลงเปลือกนอกตกผลึกเป็นแร่ละหิน ไอน้ำในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาสะสมบนพื้นดินไหลลงทะเลและมหาสมุทร สองพันล้านปีต่อมาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ได้ตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมาสังเคราะห์ด้วยแสง สร้างอาหารและพลังงานแล้วปล่อยผลผลิตเป็นแก๊สออกซิเจนออกมา แก๊สออกซิเจนที่ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบนแล้วแตกตัวเป็นออกซิเจนอะตอมเดี่ยวและรวมตัวกับออกซิเจนอะตอมคู่ที่มีอยู่เดิมกลายเป็นแก๊สโอโซน ซึ่งช่วยปกป้องอันตรายจากรังสีอุลตราไวโอเล็ต นับตั้งแต่นั้นมาทำให้สิ่งมีชีวิตบนบกก็ทวีจำนวนมากขึ้น ออกซิเจนจึงมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกในเวลาต่อมา สัดส่วนของสิ่งมีชีวิตเช่นพืชและสัตว์เป็นปัจจัยควบคุมปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจนในบรรยากาศ และควบคุมภาวะเรือนกระจกให้อยู่ในสภาวะสมดุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น